วันนี้จะขอโอกาสมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับถุงพลาสติกป้องกันยูวี (UV Stabilizer)
ซึ่งหลายท่านมักเข้าใจผิดว่าถุงพลาสติกของเราสามารถช่วยกรองรังสียูวี (UV Filter)ไม่ให้เข้าถึงตัวสินค้าของท่านซึ่งตรงนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงและอาจส่งผลเสียต่อสินค้าของท่านได้
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำจำกัดความสองคำก่อนนะครับนั่นคือ
ความคงทนต่อรังสียูวี (UV Stabilize) และความสามารถในการกรองรังสียูวี (UV Filter) ซึ่งหลายท่านมักจะคุ้นเคยกับคำว่ากรองแสงยูวีซึ่งเป็นคำที่เราคุ้นหูมาจากฟิล์มกรองแสงที่ใช้ติดในรถยนต์หรือตามอาคารบ้านเรือนเพื่อช่วยป้องกันรังสียูวีไม่ให้เข้ามาสัมผัสกับผิวร่างกายของมนุษย์และช่วยลดความร้อนได้
ซึ่งฟิล์มตอนนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นฟิล์มนำเข้าจากต่างประเทศผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงกว่าการผลิตถุงพลาสติกทั่วไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาของฟิล์มเหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงมากตารางเมตรหนึ่งจะอยู่ตั้งแต่หลักร้อยหรือหลักพันบาทเลยที่เดียว
ถึงแม้ว่าถุงพลาสติก ถุงมุ้งหรือถุงคลุมพาเลทของเราจะมีการเติมแม่สีเพื่อให้ทึบแสงคือไม่สามารถมองทะลุผ่านมองเห็นสินค้าด้านไหนได้แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นตัวของชี้ชัดว่าจะช่วยป้องกันรังสียูวีได้เนื่องจากแสงกับรังสียูวีเป็นคนละตัวกันรังสียูวีความสามารถในการทะลุผ่านวัตถุบางอย่างได้ ดังนั้นตรงนี้ต้องพิจารณาให้ดีก่อนการใช้งาน
แต่สำหรับถุงพลาสติกของเรา ไม่ส่าจะเป็นรูปแบบถุงมุ้ง ถุงคลุมพาเลท พลาสติก อเนกประสงค์แบบม้วนตัดเป็นแผ่นชีทหรือทำเป็นถุงขนาดเล็กไซด์ต่างๆ จะใช้การผสมต้านทานยูวี (UV Stabilizer)ในความหมายของเราคือการเติมสารปรุงแต่ง(Additive) ลงไปในขบวนการเป่าถุงพลาสติกเพื่อให้ตัวพลาสติกมีความคงทนต่อรังสียูวีไม่แตกกรอบไปก่อนเวลาอันควร แม้ต้องอยู่ในที่โล่งหรือต้องโดนแดดตลอดเวลา
ดังนั้นในกรณีที่สินค้าของท่านมีความอ่อนไหวต่อรังสียูวีจึงไม่ขอแนะนำให้ใช้ถุงพลาสติกป้องกันยูวีแต่อาจต้องลองหาวัสดุอื่นที่สามารถช่วยป้องกันรังสียูวีได้เช่นอะลูมิเนียมฟยหรือบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นที่ช่วยป้องกันรังสียูวีได้
ก็หวังว่าบทความเดี๋ยววันนี้จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านที่สามารถจะนำไปใช้หรือเลือกบรรจุภัณฑ์ประเภทป้องกันรังสียูวีภาษิตกรองแสงยูวีได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์นะครับ